อันตรายที่คาดไม่ถึง!!เมื่อมีเพศสัมพันธ์แบบ “ฝ่าไฟแดง”

โพสโดย : admin2
Advertisement

      ปัจจุบันมีคู่รักจำนวนไม่น้อยที่มีความสัมพันธ์แบบ "ฝ่าไฟแดง" การฝ่าไฟแดงก็คือ การมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน โดยมีความเชื่อว่าการฝ่าไฟแดงนั้นทำให้ไม่ปวดประจำเดือนและเป็นการคุมกำเนิดทางอ้อม แต่หารู้ไม่ว่าการฝ่าไฟแดงนั้นอาจทำให้ตัวคุณและคู่รักเผชิญกับอันตรายที่คาดไม่ถึง

 

Advertisement

 

   ในช่วงมีประจำเดือน ร่างกายของผู้หญิงนั้นจะอ่อนแอกว่าปกติ ซึ่งมีสาเหตุมาจากขณะที่มีประจำเดือน ปากมดลูกจะเปิดออก เพื่อให้เลือดและเยื่อบุโพรงมดลูกออกมา ทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องคลอดหรือที่มาจากการมีเพศสัมพันธ์มีโอกาสเข้าไปในมดลูกได้ และการที่เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

   อีกเหตุผลหนึ่งคือ ภูมิต้านทานของร่างกายในช่วงการมีประจำเดือนต่อแบคทีเรีย รา และไวรัส จะทำงานได้ต่ำลง มีการตีพิมพ์ลงในวารสาร International Journal of Biological & Medical Research โดย Dr.Sadiqua และคณะ ได้ตรวจจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว ตลอดเดือนของผู้หญิงเหล่านั้น ซึ่งผลปรากฏว่า จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้หญิงช่วงมีประจำเดือนจะต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ช่วงมีประจำเดือนภูมิคุ้มกันจะลดลง เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งทำหน้าที่ในระบบภูมิคุ้มกันมีจำนวนลดลงนั่นเอง

   อย่างที่ทราบมาแล้วว่าในช่วงที่ผู้หญิงมีประจำเดือน ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง จากการรายงานของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าการฝ่าไฟแดง มีโอกาสติดเชื้อมากขึ้นอย่างชัดเจนประมาณ 3 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงที่ผู้หญิงไม่มีประจำเดือน โดยเชื้อที่มีโอกาสติดจากการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการมีประจำเดือนแบบไม่ได้ป้องกัน ได้แก่ Neisseria gonorrhoeae ก่อโรคหนองใน, Candida albicans ทำให้เกิดเชื้อราในช่องคลอด, Human Immunodeficiency Virus (HIV) เชื้อก่อโรคเอดส์, Human Papilloma Virus (HPV) เชื้อก่อโรคหูดหงอนไก่กับมะเร็งปากมดลูก และ Herpes simplex virus (HSV) เชื้อก่อโรคเริม

   โดยปกติการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ไม่มีประจำเดือน ฝ่ายหญิงมีโอกาสติดเชื้อ HIV จากฝ่ายชายได้ 10 ใน 10000 คน แต่เมื่อมีเลือดและสารคัดหลั่งออกมาอย่างมาก อัตราการติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ในเลือดยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อ HPV ส่วนโรคเริมเกิดจากเชื้อที่มีการถ่ายทอดง่าย แล้วพบว่ามักกลับเป็นซ้ำมากช่วงมีประจำเดือน เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ผู้ป่วยควรจะงดการมีเพศสัมพันธ์ชั่วคราว

   แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายคู่รักเลือกที่จะฝ่าไฟแดงเพราะคิดว่าเป็นการคุมกำเนิดอย่างหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องป้องกัน ไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ ในหญิงที่มีรอบเดือนปกติสม่ำเสมอ การมีเพศสัมพันธ์ในวันแรกของการมีประจำเดือนจะมีโอกาสตั้งครรภ์ต่ำ และหากมีเพศสัมพันธ์ในวันท้ายๆ ของการมีประจำเดือน ต้องดูว่าช่วงมีประจำเดือนกี่วัน หากนานถึง 7 วัน แล้วมีเพศสัมพันธ์ในวันสุดท้าย อสุจิซึ่งอายุ 3-5 วัน อาจมีอายุได้ถึงวันที่ไข่ตก เพราะแม้วันตกไข่จะห่างจากช่วงการมีประจำเดือน แต่ก็สามารถตกไข่ก่อนหรือหลังได้บวกลบ 2 วัน จึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ได้

   แต่สำหรับผู้หญิงบางคนมีรอบเดือนไม่สม่ำเสมอหรือผิดปกติ เช่น มีรอบเดือนสั้นกว่าปกติ อย่างเช่น 21 วันหรือ 24 วัน ช่วงระหว่างการมีประจำเดือนจนกระทั่งตกไข่จะลดลง หากมีเพศสัมพันธ์ในวันท้ายของการมีประจำเดือนก็มีโอกาสที่อสุจิจะมีอายุถึงวันที่ตกไข่แล้วเกิดการปฏิสนธิได้ดังนั้นจึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์

   หากถามว่าเราฝ่าไฟแดง จะมีโอกาสตั้งครรภ์หรือไม่ ถ้าเราแน่ใจว่ามีรอบเดือนปกติสม่ำเสมอ เลือดที่ไหลออกมานั้นเป็นเลือดประจำเดือนจริงๆ ไม่ใช่เลือดที่ออกเพราะสาเหตุอื่นเช่น การอักเสบของปากมดลูก การติดเชื้อในช่องคลอดหรืออาจมีสาเหตุจากการที่มีรอยโรค เช่น ติ่งเนื้อ (polyp) ก้อนหรือแผลบริเวณปากมดลูก การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงมีประจำเดือนมีโอกาสที่จะตั้งครรภ์น้อยมาก แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้สูงมากเช่นกัน

   ดังนั้นหากต้องการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการมีประจำเดือน ควรมีการป้องกันการติดเชื้อ จากเชื้อที่ติดต่อได้ง่ายทางการมีเพศสัมพันธ์ ทั้ง HIV และ HPV โดยควรให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ Human Immunodeficiency Virus (HIV) และ Human Papilloma Virus (HPV) การป้องกันอีกทางหนึ่งคือฉีดวัคซีน HPV (Human Papillomavirus Vaccine) ซึ่งป้องกันไวรัสที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก

   สุดท้ายนี้ เมื่อคุณและคู่รักเห็นว่าการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างมีประจำเดือนมีข้อเสียมากมาย ไม่ได้ช่วยคุมกำเนิดได้อย่างสมบูรณ์อย่างที่หลายคนเข้าใจ อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในเมื่อคุณมีทางเลือกอื่นแล้ว อย่าฝ่าไฟแดงจะดีที่สุด เพราะ...ไฟแดงแปลว่าหยุด หยุดทั้งบนถนนและบนเตียง

0291-1

 

 

ขอบคุณเนื้อหาจาก:บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 



Advertisement